30 พฤษภาคม 2566 นักเขียนนิรนาม
สรุปผลวิจัยของ MICROSOFT เกี่ยวกับ AI ในการทำงาน 2023

หลังจากเมื่อต้นปีที่ผ่านมาได้เปิดตัวบริการ Microsoft 365 Copilot ที่มีความสามารถในการสร้างการรับรอง Spreadsheet, Presentation, Document และอื่นๆ 

 

และ Microsoft (ไมโครซอฟท์) ได้เดินหน้ามุ่งให้ทั่วโลกได้มีโอกาสในการใช้งาน Microsoft 365 Copilot มากยิ่งขึ้น 

 

อีกทั้ง ยังได้ถือโอกาสเปิดเผยข้อมูลเชิงลึกจากงานวิจัย “Work Trend Index (ดัชนีแนวโน้มการทำงาน)” ฉบับล่าสุดปี 2023 ที่ได้เจาะลึกมุมมองการเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้นในวัยทำงานยุค AI ภายใต้หัวข้อ “Will AI Fix Work?”

 

โดยในงาน Work Trend Index 2023 ได้รวบรวมสำรวจข้อมูลผู้บริหารและพนักงานกว่า 31,000 คนในอุตสาหกรรมต่างๆ กว่า 31 ประเทศ รวมถึงประเทศไทยและตลาดอื่นๆ อีก 13 แห่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และอื่นๆ อีกเช่น

  • การประมวลข้อมูลที่เก็บรวบรวมมานับล้านรายการจาก Email, การประชุมออนไลน์, และระบบแชทใน Microsoft 365 
  • แนวโน้มตลาดแรงงานจาก LinkedIn

 

ซึ่งข้อมูลเหล่านี้บ่งชี้ว่าการทำงานในปัจจุบันต้องการความรวดเร็วในระดับที่เกินกว่าพนักงานจะตามทัน โดยส่งผลกระทบต่อความสามารถของพวกเขาในการสร้างสรรค์นวัตกรรมให้กับองค์กร 

 

การมาถึงของ AI นั้นส่งผลให้วิธีการทำงานของเราต้องเปลี่ยนไปในทุกด้าน จากเดิมที่มีระบบอัตโนมัติทั่วไปในการทำงาน มาเป็นระบบผู้ช่วยที่ทำงานร่วมกับมนุษย์อย่างชาญฉลาด

 

รายงาน Work Trend Index 2023 ระบุว่าพนักงานไทยถึง 86% ยินดีที่จะมอบให้ AI ทำงานแทนให้ได้มากที่สุดเพื่อลดภาระงาน “สุภาณี อนุวงศ์วรเวทย์ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานการตลาดและปฏิบัติการ ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย กล่าว”

 

รายงาน Work Trend Index 2023 ชี้ให้ผู้นำธุรกิจเห็นถึงข้อสรุปที่สำคัญ 3 ประการใหญ่ๆ ในการทำความเข้าใจและนำ AI มาใช้ในองค์กรอย่างถูกต้องเหมาะสม

 

1. Digital debt is costing us innovation (หนี้ดิจิทัลทำให้เราต้องสูญเสียนวัตกรรมใหม่ๆ) : Microsoft เล็งเห็นโอกาสในการทำให้การสื่อสารมีประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น เพราะยิ่งเสียเวลาไปกับภาระ Digital debt มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้พนักงานไม่มีเวลาใช้ความคิดสร้างสรรค์มากขึ้นเท่านั้น เช่น

  • พนักงานในประเทศไทย 89% รู้สึกว่าพวกเขาไม่มีเวลาและพลังงานมากพอที่จะทำงานให้เสร็จ ซึ่งคนกลุ่มนี้มีโอกาสสูงที่จะเจอกับอุปสรรคเมื่อต้องลงมือสร้างสรรค์นวัตกรรมด้วยตนเอง 
  • ข้อมูลเวลาทำงานใน Microsoft 365 ชี้ว่าโดยเฉลี่ยพนักงานใช้เวลาทำงาน 57% ไปกับการติดต่อประสานงาน
  • 43% สร้างสรรค์ชิ้นงานขึ้น ส่วนอุปสรรคอันดับหนึ่งที่ขัดขวางประสิทธิผลในการทำงานก็คือการประชุมที่ไร้ประสิทธิภาพ

 

2. There’s a new AI-employee alliance (AI พร้อมเป็นพันธมิตรคู่ใจในการทำงาน) : จากข้อมูลพนักงานส่วนใหญ่มีความสนใจกับบทบาทของ AI ในการแบ่งเบาภาระงาน มากกว่าที่จะกังวลว่าตนเองจะถูกแทนที่จนตกงาน โดยผู้บริหารส่วนใหญ่ก็มีความตั้งใจที่จะนำ AI มาสนับสนุนพนักงานให้ทำงานได้ดีขึ้น แทนที่จะมาทำงานแทนมนุษย์ โดยข้อมูลประเทศไทยมีดังนี้ 

  • 66% ของพนักงานที่เข้าร่วมการสำรวจยังมีความกังวลว่าจะถูก AI แย่งงาน
  • 86% ที่พร้อมจะแบ่งงานให้ AI ช่วยให้ได้มากที่สุดเพื่อแบ่งเบาภาระงาน
  • 9 ใน 10 มั่นใจว่าพร้อมแบ่งงานที่ซับซ้อนให้ AI เข้ามาช่วยทำ โดยไม่จำกัดอยู่เพียงแค่เอกสารหรือธุรการทั่วไป
  • ในระดับผู้บริหารพบว่า มีกลุ่มที่สนใจนำ AI มาใช้เสริมประสิทธิภาพในที่ทำงานเป็นจำนวนที่สูงกว่ากลุ่มที่มุ่งลดจำนวนพนักงานด้วย AI ราว 1 ใน 3

 

3. Every employee needs AI aptitude (พนักงานทุกคนต้องการความเชี่ยวชาญ AI) : แน่นอนว่าพนักงานทุกคนต้องการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ เช่น การวางโครงสร้างและเขียนคำสั่งสำหรับ AI (prompt engineering) แทนที่จะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้าน AI เท่านั้น

  • ผู้บริหารในไทยกว่า 90% คาดว่าพนักงานจะต้องเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ในยุค AI 
  • พนักงานไทยกว่า 86% ระบุว่าพวกเขายังขาดความสามารถที่เหมาะสมในการทำงานให้สำเร็จ

 

ดังนั้น จึงคาดการณ์ได้ว่าทักษะใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความเชี่ยวชาญด้าน AI จะเป็นที่ต้องการอย่างมากในตลาดแรงงาน พร้อมส่งผลกระทบเป็นวงกว้างนับตั้งแต่แนวทางการเขียนเรซูเม่ไปจนถึงประกาศรับสมัคร

 

ทั้งนี้ ในโอกาสนี้ ไมโครซอฟท์ได้ประกาศโครงการ Microsoft 365 Copilot Early Access เพื่อให้ลูกค้าในกลุ่มองค์กรขนาดใหญ่ 600 รายทั่วโลกได้มีโอกาสใช้งาน AI ในภาคธุรกิจ 

 

สามารถอ่านข้อมูลฉบับเต็มได้ที่นี่









 

---Wynnsoft Solution รับทำเว็บไซต์ รับทำ SEO รับทำการตลาดออนไลน์ รับทำโฆษณา Facebook รับทำเว็บไซต์ ขอนแก่น และรับทำเว็บไซต์ทั่วประเทศ

ข้อมูลจาก : microsoft.com / sanook.com